ตัวอย่างงานเขียน
ตัวอย่างงานเขียน
หนังสือชีวประวัติ "มังกรสยาม"
บทที่ 4
วิชา "เสี่ย" นอกตำรา
"ไหนๆมึงเกเร ไม่เรียนแล้ว ก็มาขับรถช่วยที่บ้านละกัน" เตี่ยเสนอทางเลือกให้กับผม หลังถูกไล่ออกจากโรงเรียนกลางคัน
ผมฟังแล้วก็นิ่งไปพักใหญ่ ใจหนึ่งก็สมหวังที่ต่อไปนี้ จะได้ไม่ต้องไปเรียน ไปสอบ เพราะขี้เกียจอ่านหนังสือ แต่อีกใจก็หดหู่ยังไงพิกล จากที่เคยไปโรงเรียน ถูกคุณครูจำ้จี้จำ้ไช พบหน้าเพื่อนฝูง เที่ยวเล่น สรวลเสเฮฮา ตามประสาวัยรุ่น แต่อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ ผมคงไม่ได้สัมผัสมันอีก
"ครับเตี่ย" ผมแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะก็ยังไม่แน่ใจเส้นทางในอนาคตของตัวเอง...
บังเอิญช่วงนั้น คนงานขับรถส่งของที่บ้านลาออก เตี่ยจึงมอบหมายให้ผมมาทำหน้าที่นี้แทน แกสอนให้ผมขับรถแค่วันสองวัน ผมก็คล่องมือคล่องตีนแล้ว แม้จะเป็นรถปิกอัพยี่ห้อดัสสัน (นิสสันในปัจจุบัน) เกียร์กระปุก แต่ด้วยขนาดไม่ใหญ่ เทอะทะ และสมรรถนะไม่เร็วแรงเหมือนทุกวันนี้ รวมทั้งจำนวนรถราก็ไม่ขวักไขว่ ทางบ้านจึงเชื่อมือและไม่เป็นกังวลกับสวัสดิภาพความปลอดภัย ในเวลาที่ผมต้องขับรถไปส่งของเพียงลำพัง
ขณะนั้น ผมก็เพิ่งอายุเพียงแค่ 13 ปี!
พอได้ทำงาน ก็ง่วนอยู่กับการขายของทั้งที่ร้าน ขับรถไปส่งข้าว ส่งถ่านให้กับลูกค้าในละแวกใกล้เคียง ไหนจะต้องดีดลูกคิดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย สั่งซื้อ สต็อกของ เรียกว่ากิจการงานค้าที่บ้านมีอะไร ทำอย่างไร แบบไหน และทำไม เตี่ยจะสอนให้ผมเรียนรู้แบบหมดเปลือก
เมื่องานรัดตัว เวลาเที่ยวเล่นก็น้อยลง หรือแทบจะไม่มีเลย เพราะต้องทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด นานวันเข้าก็ทำให้ผมเริ่มเป็นผู้ใหญ่ รู้จักคิด รู้จักพูด และกระทำในสิ่งเหมาะควรไปโดยปริยาย
บ่อยครั้งที่เตี่ยจะไหว้วานผมไปส่งข้าวให้กับลูกค้าในบริเวณใกล้เคียง แม้ผมจะอายุยังน้อย รูปร่างบอบบาง ผมเพรียว แต่ส่วนสูงก็ใช้ได้อยู่ถึง 176 เซนติเมตร หากเป็นกระสอบข้าวนำ้หนักที่ 50 กิโลกรัม หรือแม้แต่ 100 กิโลกรัม ผมก็ก้มลงจับขยับกระสอบข้าว 2-3 ทีให้ถนัดมือ แล้วอุ้มมาพักไว้ที่ท้อง ก่อนยกพาดขึ้นบนบ่าอีกที คล้ายกับการยกน้ำหนักในท่าคลีนแอนด์เจิร์กได้สบายๆ เดินตัวตรงแบกกระสอบข้าว เหลือบซ้ายแลขวาข้ามถนนไปส่งบ้านลูกค้าฝั่งตรงข้ามได้อย่างคล่องแคล่ว
"อ้าว! เสี่ยมาเองเลยหรือ" ลูกค้ากึ่งทักกึ่งถาม เมื่อเห็นผมแบกข้าวไปส่ง ผมไม่ได้ตอบกลับ เพียงแต่ส่งยิ้มให้แทน
มีอยู่หนหนึ่งเตี่ยไปเลี้ยงสังสรรค์กินโต๊ะแชร์กับพรรคพวก ซึ่งในวงเสวนาก็คุยกันสัพเพเหระ บังเอิญเพื่อนคนนึงของแกหยิบเรื่องผมขึ้นมาสนทนา พร้อมแนะนำว่า...
"ทำไมจึงไม่เลือกผมเป็นหลงจู๊? เพราะทำงานใช้ได้ ขยันขันแข็งดี ยังไงก็ขึ้นเงินเดือนให้อีหน่อย" เตี่ยได้ฟังดังนี้แล้ว ก็พูดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูก... -
"ทั้งๆที่มันเป็นลูกเถ้าแก่ แต่ไปบอกคนอื่นว่าเป็นจับกัง" เสียงบ่นน้อยใจของเตี่ยระบายกับแม่ เล็ดลอดออกมาจากข้างห้องในคืนนั้น ซึ่งอยู่ติดกันกับห้องผม เสียงพึมพำนั้นทำให้ผมอมยิ้ม และนอนหลับฝันดีไปทั้งคืน
การปกปิดไม่บอกความจริงกับลูกค้าว่าผมเป็น "เสี่ย" เป็นลูกเถ้าแก่นั้น มันก็มีเหตุผลรองรับ เพราะเป็นเทคนิคทางการค้า ที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ การไปเก็บตังค่าข้าวสารนี่แหละ
ผมเรียกมันว่า "กลยุทธ์เศษสตางค์" เพราะหากลูกค้ารู้ว่าผมเป็นลูกเจ้าของ โดยมากจะขอส่วนลด โดยเฉพาะเศษสตางค์ อย่างข้าวสารกระสอบละ 100 กิโลกรัม ราคาอยู่ที่ 823-825 บาท ส่วนเกิน 3-5 บาท ก็มักจะไม่ค่อยจ่ายกัน ตรงกันข้ามกลับการบอกลูกค้าว่าเป็น "จับกัง" หากขอส่วนลด ไม่จ่ายเศษสตางค์แล้ว ผมก็จะถูกหักเงินเดือน เค้าก็เลยไม่ค่อยกล้า จึงทำให้ผมเก็บเงินค่าข้าวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย...............................