หนังสือชีวประวัติ "สองพยัคฆ์ นักสู้ผู้พิชิต"
หนังสือชีวประวัติ "สองพยัคฆ์ นักสู้ผู้พิชิต"
บทที่ 3
กินข้าวหม้อเดียวกัน
หลังจากเรียนจบชั้นป.7 แล้ว เราทั้งสองก็ต้องขวนขวายหาสถานศึกษาเพื่อเรียนต่อในชั้นมัธยมต้นด้วยตัวเอง ซึ่งในเวลานั้นไม่ยุ่งวุ่นวายเหมือนกับสมัยนี้ ที่ตัวเด็กต้องบนบานศาลกล่าวเสี่ยงดวงจับฉลาก เพื่อให้ได้เรียนในโรงเรียนมีชื่อ แต่ยุคนั้นจะประชันกันด้วยการ "สอบเข้า" เป็นสำคัญ
และบังเอิญว่าเราสอบติดได้เข้าเรียนที่เดียวกัน "โรงเรียนเบตงวีระราษฎร์ประสาน" โรงเรียนประจำอำเภอ ที่ใหญ่ มีมาตรฐานด้านการเรียนการสอนสูง แถมยังได้อยู่ชั้นมศ. 1/1 อีกต่างหาก ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นห้องเด็กเก่งว่างั้นเถอะ
แต่ที่ไหนได้ ผลการเรียนของเราทั้งคู่ ตั้งแต่ชั้นม.ศ. 1 เทอม 1-2 เรื่อยไปถึงชั้นม.ศ. 2 เทอม 1 กลับปรากฏออกมาอย่างน่าผิดหวัง สอบได้เลขสองตัวมาโดยตลอด อันดับที่ 20 กว่าบ้าง 30 กว่าบ้าง ทั้ง 2 คน จากจำนวนเพื่อนร่วมห้องทั้งหมด 46 คน!
ก็จะให้ผลการเรียนออกมาดีได้ยังไง เพราะเราไม่ค่อยตั้งใจเรียนกันเท่าไหร่ โต๊ะ-เก้าอี้นั่งก็จองพื้นที่สัมปทานไว้หลังห้อง ครูบาอาจารย์ประสาทวิชาให้ ก็แทบไม่จดเขียนเรียนอ่าน เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ทำราวกับว่าปล่อยให้มันซึมซับเข้าไปในหยักสมองเอง
ขณะเดียวกัน ช่วงนั้นปิ๋นเริ่มที่จะเป็นนักมวย ขึ้นชกตามเวทีต่างๆ บ้างแล้ว แถมยังทำตัวเป็น "หัวโจก" ประจำห้อง มีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือก็รุ่นพี่อยู่บ่อยครั้ง เมื่อ "คู่หู" คู่นี้ย่างกรายไปที่แห่งใด จึงแทบไม่มีใครกล้ามาตอแย สั่งก็พลอยเดินอาดๆ วางมาดขาใหญ่ไปด้วยกันแบบเลยตามเลย
ระหว่างที่เราเรียนอยู่ชั้นม.ศ. 2 อีกเช่นกัน ในยามที่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปซิ่งเล่น อารมณ์ความมันส์ ความซ่า ดูมันจะคึกคักมากเป็นพิเศษ กับการเหยียบเกียร์ด้วยเท้า แล้วบิดคันเร่งด้วยมือ ให้รถเครื่องวิ่งฉิวไปข้างหน้าอย่างเร็วแรง บางทีเข็มไมล์ความเร็วก็ดีดขึ้นไปทะลุกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ต่างบ้านต่างเมืองที่เราไปเยือนก็คือที่ เมืองบาร์ลิ่งและสุไหงปัตตานี สองเมืองที่มีสภาพแวดล้อมไม่ต่างไปจากเบตงมากนัก มีคนเชื้อชาติมลายูและจีนเป็นสองกลุ่มใหญ่ อาศัยอยู่หนาแน่นมากสุด แต่ที่ต่างออกไปเห็นจะเป็นสนนราคาข้าวของเครื่องใช้และสินค้าจากต่างประเทศหลายรายการ ที่จะถูกกว่าฝั่งไทยเรา 20-30% เป็นอย่างน้อย เพราะเป็นสินค้าปลอดภาษี
วัยรุ่นเบี้ยน้อยหอยน้อยแบบเรา เวลาไปเที่ยวก็ได้แต่เมียงๆมองๆ หยิบโน่น จับนี่ เพราะอย่างเก่งก็ซื้อได้แค่เสื้อผ้า หมวก หรือไม่ก็รองเท้า โดยเฉพาะยี่ห้อ Adidas
ที่ซื้อสวมใส่มาอวดเพื่อนกันคนละคู่...
แต่กระนั้น สิ่งที่เราจะชอบมาก คือ ช่วงพักกลางวัน เพราะจะได้ขี่มอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ ไปกินมื้อเที่ยงที่บ้านของสั่ง ร้านขายเสื้อผ้าในตลาดเบตง ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับโรงเรียนมากนักราว 400-500 เมตร นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวสั่ง ทั้งคุณแม่ พี่ชาย พี่สาว และน้องชาย บางวันวงเล็ก 3-4 คน บางวันก็วงใหญ่เต็มคณะทั้งบ้าน 7-8 คน
คุณแม่ของสั่งจะเป็นจัดสำรับอาหาร เตรียมกับข้าวกับปลาไว้คอยท่า ทั้งของทอด ผัดผัก แกงจืด ต้มยำ ไข่เจียว และอีกสารพัดเมนู ไม่ 3 ก็ 4 อย่าง กินข้าวสวยบ้าง ข้าวต้มบ้าง เติมได้ไม่อั้น กินได้เต็มที่ ซึ่งเราก็มา "ฝากท้อง" ที่นี่ด้วยกันอยู่ 2-3 ปีเลยทีเดียว
แต่ก็อีกนั่นแหละ คนเรา "ลางเนื้อชอบลางยา" ไม่สั่งก็ปิ๋นคนใดคนหนึ่ง มักจะชักชวนกันไปกินข้าวนอกบ้านเสมอๆ เพราะมองดูแล้วว่าวันนี้กับข้าวคงไม่อร่อย ไม่ถูกปากเป็นแน่ แม้คุณแม่จะพิถีพิถันจัดข้าวปลาอาหารไว้อย่างดีแล้วก็ตาม
"ไปเถอะเรา ร้านเดิมดีกว่า"
ร้านที่ว่านั้นก็คือ ร้านก๋วยเกี๋ยวลูกชิ้นเนื้อ ใส่เต้าหู้แคะ ซึ่งก็เป็นก๋วยเตี๋ยวสูตรพิเศษของคนไทยเชื้อสายจีนฮากกาเหมือนกัน ร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ตั้งอยู่หัวมุมตรงหอนาฬิกา กลางเมืองเบตงพอดี ยิ่งในช่วงเที่ยงลูกค้าจะแน่นร้านทุกวัน กว่าจะได้กินก็รอคิวกันยาว เราจึงสั่งทีเดียวคนละ 2 ชาม เส้นหมี่บ้าง เส้นใหญ่บ้าง หรือไม่ก็ "บะหมี่เบตง" ราคาขายจะอยู่ที่ 2-3 บาท/ชาม เฉลี่ยอาทิตย์หนึ่งเราจะมาอุดหนุนไม่ 1 ก็ 2 ครั้ง เสมอๆ
ปัจจุบันร้านเดียวกันนี้ได้ย้ายเข้ามาขายในกรุงเทพฯ ที่แยกลำสาลี ย่านรามคำแหงแล้ว หากมีโอกาสเราทั้งคู่ก็ไม่พลาดที่จะแวะเวียนไปกินกัน ในฐานะลูกค้าเก่าแก่ดั้งเดิม ทั้งยังไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเจ๊เจ้าของร้าน ที่แม้จะชราภาพไปมาก ผมขาวโพลนไปทั้งหัว เดินเหินเชื่องช้า แต่แกก็ยังคอยต้อนรับขับสู้ลูกค้าทุกวี่วัน
อย่างไรก็ตาม การแอบหนีไปกินก๋วยเตี๋ยวนอกบ้าน โดยไม่แตะอาหารที่คุณแม่ทำให้แม้แต่คำเดียวนั้น นอกจะทำให้ท่านเสียเวลาและเสียความตั้งใจแล้ว หลายคร้ังหลายหนเราก็ถูกท่านดุด่า
"ไปเสียเงินซื้อข้าวกินทำไมกัน กับข้าวที่บ้านก็มีเยอะแยะ หากทำแบบนี้อีก ต่อไปแม่จะไม่ทำอะไรให้กินแล้วนะ"
แม้จะเป็นการต่อว่า ปนอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ก็แฝงความน้อยใจอยู่ในที
คุณแม่ของพวกเราก็น่ารักแบบนี้แหละ.